วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

           และความประทับใจอีก 1 อย่างที่จะขาดไม่ได้เลยก็คืองาน Power Cheer


งานนี้คือการแสดง สปิริต ของนิสิตชั้นปีที่ 1 ให้กับคนทั้วไปได้รู้ว่า นิสิต ม.น. มีใจที่เข้มแข็งและมีความสามารถเพียงใด  งานนี้คือหนึ่งในความภาคภูมิใจ ในชีวิตของข้าพเจ้า  ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของงาน
 และ ประบทเพลงนี้
"เคยคิดไหม ว่าทำไม ณ  วันนี้   เราจึงมาร่ำเรียนที่ นเรศวร  
หรือดังว่า ชาติก่อนเก่า เราได้ทบทวน    
จึงกลับหวนคือถิ่น แผ่นดินเดิม"
ทำให้ความสงสัยของผมหายไปหมดว่าทำไม  ถึงต้องเป็นที่นี้ ทิ้งไว้เพียงความภูมิใจที่ได้มาเรียนที่นี้แทน

ผมรัก ม.น. ครับ








ส่วนสิ่งที่ห้องแก้ไข  ผมคิดว่าไม่มี เพราะว่ามหาวิทยาลัยดีอยู่แล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ที่ตัวเราเองมากกว่าครับ ^^




ที่กล่าวมาข้างต้น ผมไม่ได้จะบอกให้เรามุ่งหน้าเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพียงอย่างเดียว   เราควรเก็บเกี่ยวความสุขด้วย  งั้นผมจะมาขอพูดถึงความประทับใจที่ผมมีต่อที่นี้ นะครับ ^^
    ถ้าพูดถึงความประทับใจก็คงไม่พ้น ค่าย  Biginning Camp

ค่ายนี้เป็นค่ายที่ให้นิสิตชั้นปีที่ 1 ทุกคนมาพบเจอและทำกิจกรรมร่วมกัน  สิ่งที่ผมชอบในค่ายนี้ก็คือ เราได้มีเพือนเยอะ สนุกกับการทำกิจกรรม มีพี่คอยดูแลเหมือนกับครอบครัว  ทำให้ผมรู้สึกดีมาก    และเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดตั้งแต่เข้ามาศึกษาที่นี้เลย    ก็ว่าได้   
โดยมีภาพบรรยากาศแบบนี้ ;:



       สวัสดีครับ วันนี้ข้าพเจ้าจะมาพูดถึง ความรู้สึกที่มีต่อ มหาวิทยาลัยนเรศวร  หรือที่เราพูดกันติดปากว่า  ม.น.  แต่ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอแทนคำเรียกตัวเองว่าผม เพื่อความสะดวกต่อการอ่าน นะครับ ^^   สำหรับวันแรกที่ผมได้เป็นนิสิตของ ที่นี้ ผมรู้สึกเสียใจมากเพราะใจจริงแล้วอยาก
จะเรียนที่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มากกว่า แต่กลับสอบไม่ติด เวลานั้นรู้สึกถึงความหมดหวัง สิ้นหวังแต่ผมถอยกลับไม่ได้  เพราะว่ามีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นนักเรียนทุนพระราชทาน อยู่ จึงต้องเดินหน้าต่อไป   แต่แล้วพอได้มาอาศัยอยู่ที่นี้จริงๆ ก็เริ่มมีความรู้สึกว่าที่นี้ก็ไม่ด้อยกว่าที่อื่นเลย เพราะว่า สถาบันเป็นเพียงแค่ที่แสวงหาความรู้ และสานต่อความฝันของตน  ทุกคนสามารถที่จะไขว่คว้าความฝันเท่ากัน สถาบันเป็นแค่เพียงเส้นทางที่จะทำให้เราได้ก้าวเดินต่อไปสู่ความฝันเราได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง และที่นี้ก็สอนให้ผมรู้ว่าสังคมไม่ได้ง่ายขนาดว่ามีเพื่อนเยอะ   หรือเก่ง  ก็จะสามารถผ่านมันไปได้ แต่เราต้องมีความสามารถในการทำงานร่วมกับคนในสังคม เข้าสังคมให้เป็น แบ่งเวลาให้เป็น และต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง    มหาลัยไม่ใช่เพียงที่ๆเอาไว้ศึกษาหาความรู้ แต่มันคือที่เตรียมพร้อมให้กับตัวเราเองก่อนจะต้องไปพบเจอกับโลกกว้าง   และตอนนี้ผมก็คิดว่าผมไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาเสียใจกับเรื่องเล็กน้อย เพราะว่าที่นี้สอนให้ผมรู้จักกับการใช้ชีวิตจริงๆ คือ ในชีวิตจริงไม่มีใครมาคอยสั่งเราว่าเราต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้  ทุกคนล้วนมีหน้าที่ของตนเอง  เราต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่นั้นๆ ผมคิดว่าแค่นี้ก้คงจะเพียงพอแล้วที่เราจะนำมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหาต่างๆมากมาย